ยุคนี้เป็นยุคที่โลกเต็มไปด้วยการส่งต่อข้อมูลต่างๆ ถึงกันได้ง่ายเพียงแค่ปลายนิ้วยิ่งข้อมูล รูปภาพ ไฟล์เสียงและวิดิโอต่างๆ เป็นสิ่งที่ถูกเก็บบันทึกในรูปแบบของซอฟท์ไฟล์มากขึ้นเท่าไหร่พื้นที่การเก็บข้อมูลเหล่านั้นไว้ไม่ให้สูญหายยิ่งกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกคนต้องมีธุรกิจสตาร์ทอัพอย่าง Dropbox จึงถือกำเนิดขึ้นมาภายใต้แนวคิดแบบใหม่ที่หลุดออกจากกรอบเดิมๆ อย่างการใช้แฟลชไดร์ฟหรือส่งข้อมูลให้กันทางอีเมลล์ที่มีข้อจำกัดในเรื่องพื้นที่จัดเก็บและอาจหลงลืมที่จะพกพาจากสตาร์ทอัพเล็กๆ ที่มีผู้ก่อตั้งเป็นเจ้าของกิจการเพียงสองคนคือ Drew และ Arash แต่วันนี้เติบโตจนมีพนักงานกว่า 1 พันคนทำรายได้ต่อปีไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านดอลลาร์และก้าวสู่ตลาดหุ้นได้สำเร็จในปี 2018 อะไรที่ทำให้ชายหนุ่มในวัย 35 ปีอย่าง Drew Houston กลายเป็นเจ้าของธุรกิจระดับหมื่นล้านได้ในวันนี้ไปทำความรู้จักเค้าให้มากขึ้นกันดีกว่า

ฉายแววว่าที่นักธุรกิจซอฟต์แวร์ตั้งแต่อายุเพียง 5 ขวบ

พ่อของ Drew Houston เป็นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยระดับโลกอย่างฮาร์วาร์ดและมีส่วนสนับสนุนให้เจ้าตัวหัดเขียนโปรแกรมในภาษา Basic ซึ่งเขาสามารถเขียนโปรแกรมความยาว 2-3 บรรทัดด้วยภาษา Basic ได้ตั้งแต่ 5ขวบและนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของว่าที่ Software Entrepreneur คนนี้ ก่อนที่จะเริ่มคลุกคลีในแวดวงสตาร์ทอัพตั้งแต่อายุ 14 ปี โดยทำการวิเคราะห์การใช้งานโปรแกรมสำเร็จรูปของบริษัทผู้ผลิตโปรแกรมต่างๆ และส่งอีเมล์ไปแจ้งปัญหาและแนวทางแก้ไขแก่พวกเขาบริษัทบางรายอ่านแล้วสนใจจึงติดต่อกลับมาเสนอให้ Drew เข้าทำงานและเขาได้ตอบกลับไปว่าเขามีอายุเพียง 14 ปี และต้องให้คุณพ่อของเขา (ซึ่งบรรลุนิติภาวะ) เป็นผู้กรอกแบบฟอร์มใบสมัครงานซึ่งแน่นอนว่าบริษัทเหล่านั้นยินดีและตอบกลับมาว่า “ไม่มีปัญหา !”

ชีวิตนักศึกษาที่ MIT และจุดเริ่มต้นของ Dropbox

Drew เข้าเรียนระดับปริญญาตรีที่ MIT ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของโลกเขาใช้เวลาในหอพักนักศึกษาไปกับการอ่านประวัตินักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจากทั่วโลก Drew บอกว่าการเรียนรู้ชีวิตนักธุรกิจผ่านการอ่านเปรียบเสมือนทางลัดในการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงของคนที่ตกผลึกแล้วโดยที่คุณไม่ต้องออกไปเผชิญความเสี่ยงนั้นเอง

จนวันหนึ่ง (ประมาณปี 2006-2007) Drew ได้นั่งรถบัสเพื่อเดินทางจากบอสตันไปนิวยอร์คแล้วเขาก็นึกได้ว่าลืมแฟลชไดรฟ์ที่เก็บข้อมูลสำคัญไว้ที่บ้านขณะที่เดินทางมาได้เกินครึ่งทางซึ่งสายเกินกว่าจะวกกลับไปเอาแล้ว ความหงุดหงิดที่เกิดขึ้นนำไปสู่ความรู้สึกว่าการใช้แฟลชไดรฟ์เก็บข้อมูลแบบพกพานั้น ยังไม่สะดวกพอ เขาจึงเกิดแนวคิดใหม่ที่ว่าชีวิตคงจะง่ายขึ้นมากถ้าทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญในเวลาไหนก็ได้บนเครื่องมืออะไรก็ได้รวมถึงสามารถอัพเดตแก้ไขทุกอย่างได้แบบ Real time Drew จึงเขียนโค้ดต้นแบบคร่าวๆ สำหรับโครงการที่จะเป็น Dropbox พร้อมทำวิดีโอสาธิตการใช้งานเพื่อไปโพสต์ลงอินเตอร์เน็ตจนนำไปสู่การ่วมทุนและเกิดเป็นสตาร์ทอัพที่มาแรงและเติบโตอย่างสุดๆ ในเวลาต่อมา

แนะนำบทความน่าอ่าน

เสี้ยววินาทีเงินล้านแรกในชีวิต

หลังจาก Beta เวอร์ชั่นของ Dropbox แล้วเสร็จสามารถทำงานได้ในระดับหนึ่งและพบว่ามันแก้ปัญหาให้กับคนที่ไม่สะดวกในการเก็บรักษาและทำงานผ่าน Flash drive ได้จริงเขาก็เริ่มเดินตามแผนธุรกิจที่วางไว้ คือการนำโครงการของเขาออกเสนอแก่นายทุนต่างๆ และหนึ่งในนายทุนกลุ่มแรกๆ ก็คือ Sequoia

Mike Moritz ผู้บริหารระดับสูงของ Sequoia มาพบ Drew และ Arash ที่หอพักของพวกเขาเพื่อทำการตัดสินใจขั้นสุดท้ายและสิ่งที่เขาเห็นคือทั้งสองคนอยู่ในสภาพของคนทำงานอย่างหนักข้าวของที่รกรุงรังภายในห้องบ่งบอกถึงการที่พวกเขาไม่ออกไปไหนไม่ทำอะไรนอกจากทุ่มเทเวลาไปกับการพัฒนา Dropbox ตลอดวันตลอดคืน

หลังจากเจรจาเสร็จ Drew เฝ้ารอการโอนเงินลงทุนอย่างใจจดใจจ่อโดยการเฝ้าหน้าบัญชีธนาคารผ่านทางคอมพิวเตอร์และเมื่อเขากด Refresh หน้าจอ ภายในเสี้ยววินาทีที่ Sequoia โอนเงินเข้ามา เงินในบัญชีก็พุ่งจาก 60 เหรียญ ไปเป็น 1,200,000 เหรียญ!

ปฏิเสธข้อเสนอขอซื้อกิจการจาก Steve Jobs

ภายหลังก่อตั้งบริษัทมาได้แค่ 2 ปี Steve Jobs ผู้ก่อตั้ง Apple ก็เชิญ Drew ไปพบที่สำนักงานใหญ่ในคูเปอร์ติโนเพื่อกล่าวชื่นชม Dropbox ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยมก่อนจะตบเข้าประเด็นด้วยคำพูดต่างๆ นานาว่าพวกเขาจะต้องเผชิญความท้าทายอย่างหนักจากบริษัทซอฟต์แวร์รายใหญ่และเสนอขอซื้อกิจการ Dropbox ซึ่งคำตอบของ Drew ก็คือไม่เพราะเขายังต้องการปั้นให้บริษัทเติบโตด้วยมือตัวเองขณะที่ Jobs ซึ่งถูกปฏิเสธก็ตอบกลับว่า Dropbox นั้นไม่ใช่ผลิตภัณฑ์แต่เป็นได้แค่ Feature เสริมเท่านั้นและยังขู่ด้วยว่า Apple นี่แหล่ะที่จะสร้างคลาวด์มาฆ่า Dropbox เอง (และสิ่งนั้นก็คือ iCloud นั่นเอง) แต่ผลลัพธ์จากการปฏิเสธ Apple ไปในวันนั้นก็ทำให้ Dropbox ก้าวขึ้นมาเป็นธุรกิจหลักพันล้านดอลลาร์ในเวลานี้ได้ด้วยศักยภาพและความทุ่มเทของเขาเองซึ่งเวลาได้พิสูจน์แล้วว่าเขาตัดสินใจไม่ผิดที่ไม่ขายกิจการ Dropbox ให้แก่ Apple ในวันนั้น

ปรัชญาชีวิต 3 ข้อ เพื่อพัฒนาตัวเอง

Drew มีปรัชญาส่วนตัว 3 ข้อ ที่เขาใช้เพื่อการพัฒนาตัวเองนั่นก็คือ ‘A Tennis ball, The Circle and Thirty-Thousand’

  1. A Tennis Ball – เปรียบเสมือนพฤติกรรมของสุนัขที่จ้องมองไปที่ลูกเทนนิสที่เจ้านายถือล่ออยู่ในมืออย่างไม่ละสายตาคอยจ้องว่าเจ้านายจะโยนไปทางไหนและสุนัขก็จะกระโจนไปทางนั้นเขาเปรียบกับพลังของ สมาธิ หรือการโฟกัสในเป้าหมาย ต้องทรงพลังแบบสุนัขจ้องลูกเทนนิส
  2. The Circle – เปรียบกับค่าเฉลี่ยของคน 5 คนที่คุณคบด้วย เขาเชื่อว่าเราอยู่ใกล้คนแบบไหน เราจะเป็นคนแบบไหนและในขณะเดียวกันก็เป็นการสะท้อนว่าเราเป็นคนแบบใดเช่นกันเขาเปรียบเสมือนการเลือกเพื่อนที่จะคบหาส่งผลต่อชีวิตเราเป็นอย่างมาก
  3. Thirty Thousand – เป็นจำนวนชั่วโมงชีวิตของมนุษย์ซึ่งสั้นมากดังนั้นจงทำแต่ละวันให้ดีที่สุด

Drew ยอมรับว่าเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ Dropbox ประสบความสำเร็จได้คือการตัดสินใจเริ่มต้นเร็วในช่วงเวลาที่ตลาดยังไม่มีการแข่งขันสูงเพราะในยุคนั้น บริษัทยักษ์ใหญ่มักมองข้ามไม่คิดว่าสตาร์ทอัพเป็นคู่แข่งขณะที่ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาก็เปิดโอกาสให้เขามีเวลามากพอที่จะค่อยๆ เรียนรู้ทักษะการบริหารและพัฒนาศักยภาพของตัวเองซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาเรียนมาโดยตรงเพราะเจ้าตัวเชื่อว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่จะพัฒนาตัวเองได้ก็คือการฝึกฝนในสถานการณ์จริงนั่นเอง

ได้รู้จักกับ Drew Houston กันมากขึ้นแบบเจาะลึกขนาดนี้ Passion Gen เชื่อว่าความมุ่งมั่นทุ่มเทและความกล้าที่จะคิดนอกกรอบของ Drew จะเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจให้กับเหล่าสตาร์ทอัพเมืองไทยได้พัฒนาตัวเองให้เติบโตและก้าวผ่านความกลัวเพื่อจะได้เป็นเจ้าของกิจการที่ประสบความสำเร็จอย่าง Drew Houston ในสักวันหนึ่ง

“Don’t worry about failure; you only have to be right once.”
อย่าไปมัวกังวลอยู่กับความผิดพลาดมันต้องมีสักครั้งที่เราทำถูกต้องแน่ๆ
Drew Houston, Dropbox founder and CEO

แนะนำบทความน่าอ่าน

แนวคิดผู้นำ สร้างความสำเร็จ

  1. นกที่ตื่นเช้าย่อมได้หนอนตัวใหญ่การเริ่มต้นฝึกฝนตัวเองตั้งแต่เด็กทำให้ Drew ได้เปรียบกว่าคนอื่นๆ ในวัยเดียวกันเมื่อโอกาสมาถึงเขาจึงมีความพร้อมที่จะลงมือทำและประสบความสำเร็จได้ในที่สุด
    ทุ่มเทและตั้งใจความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกลการเสนอขายไอเดียเพื่อหาทุนมาก่อตั้ง Dropbox นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ Drew และ Arash ก็มุ่งมั่นและทุ่มเทอย่างเต็มที่จนสุดท้ายพวกเขาก็สามารถทำมันได้สำเร็จ
  2. ฝันใหญ่และต้องไปให้ถึงถ้า Drew ตัดสินใจขายกิจการ Dropbox ให้กับ Apple ในวันนั้นตอนนี้ Dropbox คงเป็นแค่อีกหนึ่ง Feature เสริมบนมือถือของ Apple แต่เพราะเขาเชื่อมั่นในฝันของตัวเองจึงทำให้ Dropbox เติบโตจนเข้าสู่ตลาดหุ้นได้ในที่สุด
  3. อย่าหยุดที่จะเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง Drew ยอมรับว่าสิ่งที่เขาได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นมาตลอดสิบปีในการเป็นเจ้าของกิจการ Dropbox ก็คือทักษะด้านการบริหารซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับโปรแกรมเมอร์หนุ่มวัย 30 ต้นๆ ที่ต้องมาบริหารลูกน้องกว่า 1,000 พันคนในบริษัทที่เติบโตอย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดดแต่เขาก็ทำได้และทำได้ดีอีกด้วย

Passion in this story